ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) ระบุ วัยรุ่นยุคใหม่ให้ความสนใจวิชาภาษาไทยพอๆ กับวิชาอื่น ทั้งนี้วัยรุ่นร้อยละ 40.4 เห็นว่าหากมีวิธีการเรียนการสอนที่สนุก ไม่น่าเบื่อ และมีหลักการจำให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายเหมือนโรงเรียนกวดวิชา จะสามารถดึงดูดใจให้นักเรียนหันมาสนใจเรียนวิชาภาษาไทยได้มากขึ้น รองลงมาร้อยละ 19.8 เสนอให้มีกิจกรรม เช่น เกมทายคำศัพท์ และ ทอล์คโชว์ประกอบการเรียนเพื่อให้นักเรียนได้มีส่วนร่วม และร้อยละ 19.7 เสนอให้นำสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การ์ตูนแอนนิเมชัน และอินเทอร์เน็ตมาใช้ประกอบการเรียนการสอน
สำหรับประเด็นเรื่องการใช้คำสแลง หรือภาษาแปลกๆ ใหม่ๆ ที่วัยรุ่นนิยมใช้พูดคุย หรือส่งข้อความถึงกันอยู่ในขณะนี้ พบว่ามีวัยรุ่นถึงร้อยละ 92.9 ที่ใช้ภาษาในลักษณะดังกล่าวโดยส่วนใหญ่จะใช้ในการแชท พูดคุย ผ่านอินเทอร์เนต และพูดคุยในกลุ่มเพื่อน โดยให้เหตุผลว่าง่าย สะดวก รวดเร็ว และสื่อความหมายได้ชัดเจนตรงตามความต้องการ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นส่วนใหญ่ยังเห็นว่าความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างมาก
ส่วนความรู้สึกที่มีต่อการโพสต์ข้อความด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือผิดหลักภาษาไทยลงบนบล็อก หรือเว็บบอร์ดทางอินเทอร์เน็ตนั้น วัยรุ่นส่วนใหญ่ระบุว่าไม่ชอบการโพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าว เพราะเป็นการทำลายภาษาไทย ทำให้เกิดการจดจำแบบผิดๆ และไม่เคารพคนอ่าน
1. เมื่อพูดถึงวิชาภาษาไทย สิ่งที่วัยรุ่นนึกถึง 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)
– พยัญชนะ ก – ฮ และ ตัวสะกดแม่ต่างๆ ร้อยละ 18.6
– วรรณคดีไทย เช่น พระอภัยมณี รามเกียร์ติ ขุนช้างขุนแผน ร้อยละ 16.1
– บทกลอน บทกวี ทำนองเสนาะ ร้อยละ 15.8
– ครูสอนวิชาภาษาไทย ร้อยละ 9.7
– การพูด อ่าน เขียนภาษาไทยที่ถูกต้องไพเราะ ร้อยละ 9.6
– ให้ความสนใจพอๆ กันกับวิชาอื่น ร้อยละ 72.3
– ให้ความสนใจน้อยกว่าวิชาอื่น ร้อยละ 18.7
– ให้ความสนใจมากกว่าวิชาอื่น ร้อยละ 9.0
3. วิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมและดึงดูดให้วัยรุ่นสนใจเรียนวิชาภาษาไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)
เหมือนอาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชา (เช่น อาจารย์ปิง และ ครูลิลลี่) ร้อยละ 40.4
เช่น เล่นเกมคำศัพท์ภาษาไทย โต้วาที ทอล์กโชว์ ฯลฯ ร้อยละ 19.8
PowerPoint การสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต ฯลฯ ร้อยละ 19.7
เนื้อหาให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน และยกตัวอย่างได้ ร้อยละ 14.4
– ให้มีการจัดการเรียนนอกห้องเรียน หรือ นอกสถานที่บ้าง ร้อยละ 2.8
4. การใช้ศัพท์สแลง หรือภาษาเฉพาะในหมู่วัยรุ่นในการพูดคุย เขียน หรือส่งข้อความถึงกัน พบว่า
– ใช้ ร้อยละ 92.9
– ใช้ในการแชท พูดคุยผ่านอินเทอร์เนต ร้อยละ 37.2
– ใช้ในการพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน ร้อยละ 28.2
– ใช้ในการส่ง SMS ผ่านมือถือ ร้อยละ 17.6
– ใช้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ร้อยละ 9.9
– ไม่ใช้ ร้อยละ 7.1
(โดยให้เหตุผลว่า ต้องการอนุรักษ์ภาษาไทย ภาษาวัยรุ่นอ่านยาก และไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ต ฯลฯ)
5. สาเหตุหลักที่ทำให้วัยรุ่นใช้ถ้อยคำภาษาเหล่านั้น คือ (ถามเฉพาะผู้ที่ระบุว่าใช้ในข้อ 4)
– ง่าย สะดวด รวดเร็ว ร้อยละ 68.2
– สื่อความหมายได้ชัดเจนตรงตามความต้องการ ร้อยละ 11.4
– เท่ห์ อินเทรนด์ ตามกระแส ร้อยละ 8.5
– ใช้ตามเพื่อน ร้อยละ 8.2
– สะกดคำที่ถูกต้องไม่เป็น ร้อยละ 2.4
– ใช้ตามดารา นักร้อง ที่พูดผ่านสื่อต่างๆ ร้อยละ 0.4
– อื่นๆ อาทิ ตลกดี อยากลองใช้ดูบ้าง เคยชิน ฯลฯ ร้อยละ 0.9
– เห็นว่าจะได้ประโยชน์มาก ร้อยละ 63.9
– เห็นว่าได้ประโยชน์ปานกลาง ร้อยละ 33.6
– เห็นว่าจะได้ประโยชน์น้อย ร้อยละ 2.0
– เห็นว่าจะไม่ได้ประโยชน์เลย ร้อยละ 0.5
7. ความรู้สึกต่อการโพสต์ข้อความด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือผิดหลักภาษาไทย ลงบนบล็อก หรือ
– รู้สึกชอบ ร้อยละ 1.9
– รู้สึกเฉยๆ ร้อยละ 32.6
(โดยให้เหตุผลว่า ภาษาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เป็นเรื่องปกติ เป็นภาษาที่ใช้พูดคุยกันทั่วไป ฯลฯ)
– รู้สึกไม่ชอบ ร้อยละ 65.5
(โดยให้เหตุผลว่า เป็นการทำลายภาษาไทย ทำให้เกิดการจดจำแบบผิดๆ ไม่เคารพคนอ่าน และทำให้ดูเป็นคนมีการศึกษาน้อย ฯลฯ)
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับการเรียนและการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมส่วนรวมต่อไป
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างวัยรุ่นอายุ 13-22 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยสุ่มจากเขตการปกครองทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก จำนวนทั้งสิ้น 28 เขต ได้แก่ เขตคลองเตย จตุจักร ดอนเมือง ดินแดง ทุ่งครุ ธนบุรี บางกอกน้อย บางขุนเทียน บางเขน บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางพลัด บางรัก บึงกุ่ม ปทุมวัน ประเวศ พญาไท พระโขนง มีนบุรี ยานนาวา ราชเทวี ลาดพร้าว วัฒนา สวนหลวง สาทร สายไหม และหนองจอก จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,259 เป็นเพศชายร้อยละ 50.4 และเพศหญิง ร้อยละ 49.6
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน +/- 3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 15 – 18 กรกฎาคม 2553
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 28 กรกฎาคม 2553
ชาย 635 50.4
หญิง 624 49.6
รวม 1,259 100.0
13 – 15 ปี 359 28.5
16 – 18 ปี 456 36.2
19 – 22 ปี 444 35.3
รวม 1,259 100.0
มัธยมศึกษาตอนต้น 310 24.6
มัธยมศึกษาตอนปลาย / ปวช. 442 35.1
จบการศึกษา / ไม่ได้ศึกษา 39 3.1
รวม 1,259 100.0