กรุงเทพโพลล์: วิชาภาษาไทยในความเห็นของวัยรุ่นยุคใหม่”

Posted: สิงหาคม 12, 2010 in Uncategorized

ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) ระบุ วัยรุ่นยุคใหม่ให้ความสนใจวิชาภาษาไทยพอๆ กับวิชาอื่น ทั้งนี้วัยรุ่นร้อยละ 40.4 เห็นว่าหากมีวิธีการเรียนการสอนที่สนุก ไม่น่าเบื่อ และมีหลักการจำให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายเหมือนโรงเรียนกวดวิชา จะสามารถดึงดูดใจให้นักเรียนหันมาสนใจเรียนวิชาภาษาไทยได้มากขึ้น รองลงมาร้อยละ 19.8 เสนอให้มีกิจกรรม เช่น เกมทายคำศัพท์ และ ทอล์คโชว์ประกอบการเรียนเพื่อให้นักเรียนได้มีส่วนร่วม และร้อยละ 19.7 เสนอให้นำสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การ์ตูนแอนนิเมชัน และอินเทอร์เน็ตมาใช้ประกอบการเรียนการสอน

สำหรับประเด็นเรื่องการใช้คำสแลง หรือภาษาแปลกๆ ใหม่ๆ ที่วัยรุ่นนิยมใช้พูดคุย หรือส่งข้อความถึงกันอยู่ในขณะนี้ พบว่ามีวัยรุ่นถึงร้อยละ 92.9 ที่ใช้ภาษาในลักษณะดังกล่าวโดยส่วนใหญ่จะใช้ในการแชท พูดคุย ผ่านอินเทอร์เนต และพูดคุยในกลุ่มเพื่อน โดยให้เหตุผลว่าง่าย สะดวก รวดเร็ว และสื่อความหมายได้ชัดเจนตรงตามความต้องการ  อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นส่วนใหญ่ยังเห็นว่าความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองอย่างมาก

ส่วนความรู้สึกที่มีต่อการโพสต์ข้อความด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือผิดหลักภาษาไทยลงบนบล็อก หรือเว็บบอร์ดทางอินเทอร์เน็ตนั้น วัยรุ่นส่วนใหญ่ระบุว่าไม่ชอบการโพสต์ข้อความในลักษณะดังกล่าว เพราะเป็นการทำลายภาษาไทย ทำให้เกิดการจดจำแบบผิดๆ และไม่เคารพคนอ่าน

ดังรายละเอียดต่อไปนี้

1. เมื่อพูดถึงวิชาภาษาไทย สิ่งที่วัยรุ่นนึกถึง 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

– พยัญชนะ ก – ฮ และ ตัวสะกดแม่ต่างๆ                                  ร้อยละ 18.6

– วรรณคดีไทย เช่น พระอภัยมณี รามเกียร์ติ ขุนช้างขุนแผน                     ร้อยละ 16.1

– บทกลอน บทกวี ทำนองเสนาะ                                         ร้อยละ 15.8

– ครูสอนวิชาภาษาไทย                                                ร้อยละ 9.7

– การพูด อ่าน เขียนภาษาไทยที่ถูกต้องไพเราะ                              ร้อยละ 9.6

2. ความสนใจที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาไทยเมื่อเปรียบเทียบกับวิชาอื่น  พบว่า

– ให้ความสนใจพอๆ กันกับวิชาอื่น                                        ร้อยละ 72.3

– ให้ความสนใจน้อยกว่าวิชาอื่น                                          ร้อยละ 18.7

– ให้ความสนใจมากกว่าวิชาอื่น                                          ร้อยละ 9.0

3. วิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมและดึงดูดให้วัยรุ่นสนใจเรียนวิชาภาษาไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ (เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุเอง)

– สอนให้สนุก ไม่น่าเบื่อ ไม่เครียด มีหลักการจำให้เข้าใจง่าย

เหมือนอาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชา (เช่น อาจารย์ปิง และ ครูลิลลี่)             ร้อยละ 40.4

– มีกิจกรรมระหว่างการสอน เพื่อให้นักเรียนมีส่วนร่วม

เช่น เล่นเกมคำศัพท์ภาษาไทย โต้วาที ทอล์กโชว์ ฯลฯ                       ร้อยละ 19.8

– ใช้สื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ประกอบการสอน เช่น การ์ตูนแอนนิเมชั่น

PowerPoint การสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต ฯลฯ                       ร้อยละ 19.7

– ครูผู้สอนมีความคิดที่ทันสมัย เข้าใจนักเรียน และสามารถประยุกต์

เนื้อหาให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน และยกตัวอย่างได้                        ร้อยละ 14.4

– ให้มีการจัดการเรียนนอกห้องเรียน หรือ นอกสถานที่บ้าง                      ร้อยละ 2.8

4. การใช้ศัพท์สแลง หรือภาษาเฉพาะในหมู่วัยรุ่นในการพูดคุย เขียน หรือส่งข้อความถึงกัน พบว่า

– ใช้                               ร้อยละ 92.9

โดยใช้ถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อ

– ใช้ในการแชท พูดคุยผ่านอินเทอร์เนต                          ร้อยละ 37.2

– ใช้ในการพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน                                 ร้อยละ 28.2

– ใช้ในการส่ง SMS ผ่านมือถือ                                ร้อยละ 17.6

– ใช้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา                               ร้อยละ 9.9

– ไม่ใช้                             ร้อยละ 7.1

(โดยให้เหตุผลว่า ต้องการอนุรักษ์ภาษาไทย ภาษาวัยรุ่นอ่านยาก และไม่ได้เล่นอินเทอร์เน็ต ฯลฯ)

5. สาเหตุหลักที่ทำให้วัยรุ่นใช้ถ้อยคำภาษาเหล่านั้น คือ (ถามเฉพาะผู้ที่ระบุว่าใช้ในข้อ 4)

– ง่าย สะดวด รวดเร็ว                                               ร้อยละ 68.2

– สื่อความหมายได้ชัดเจนตรงตามความต้องการ                              ร้อยละ 11.4

– เท่ห์ อินเทรนด์ ตามกระแส                                           ร้อยละ 8.5

– ใช้ตามเพื่อน                                                      ร้อยละ 8.2

– สะกดคำที่ถูกต้องไม่เป็น                                              ร้อยละ 2.4

– ใช้ตามดารา นักร้อง ที่พูดผ่านสื่อต่างๆ                                   ร้อยละ 0.4

– อื่นๆ อาทิ ตลกดี อยากลองใช้ดูบ้าง เคยชิน ฯลฯ                           ร้อยละ 0.9

6. ความคิดเห็นต่อประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับหากสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง คือ

– เห็นว่าจะได้ประโยชน์มาก                                            ร้อยละ 63.9

– เห็นว่าได้ประโยชน์ปานกลาง                                          ร้อยละ 33.6

– เห็นว่าจะได้ประโยชน์น้อย                                            ร้อยละ 2.0

– เห็นว่าจะไม่ได้ประโยชน์เลย                                          ร้อยละ 0.5

7. ความรู้สึกต่อการโพสต์ข้อความด้วยถ้อยคำที่รุนแรง หยาบคาย หรือผิดหลักภาษาไทย ลงบนบล็อก หรือ

เว็บบอร์ด ทางอินเทอร์เนต

– รู้สึกชอบ                               ร้อยละ 1.9

(โดยให้เหตุผลว่า สะใจดี อ่านแล้วเข้าใจง่าย ฯลฯ)

– รู้สึกเฉยๆ                              ร้อยละ 32.6

(โดยให้เหตุผลว่า ภาษาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ไม่เกี่ยวอะไรด้วย เป็นเรื่องปกติ เป็นภาษาที่ใช้พูดคุยกันทั่วไป ฯลฯ)

– รู้สึกไม่ชอบ                             ร้อยละ 65.5

(โดยให้เหตุผลว่า เป็นการทำลายภาษาไทย ทำให้เกิดการจดจำแบบผิดๆ ไม่เคารพคนอ่าน และทำให้ดูเป็นคนมีการศึกษาน้อย ฯลฯ)

รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ

เพื่อสอบถามความคิดเห็นของวัยรุ่นที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับการเรียนและการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน  เพื่อสะท้อนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและสังคมส่วนรวมต่อไป

ระเบียบวิธีการสำรวจ

การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างวัยรุ่นอายุ 13-22 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยสุ่มจากเขตการปกครองทั้งเขตชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก จำนวนทั้งสิ้น 28 เขต ได้แก่ เขตคลองเตย จตุจักร ดอนเมือง ดินแดง ทุ่งครุ ธนบุรี บางกอกน้อย บางขุนเทียน บางเขน บางคอแหลม บางซื่อ บางนา บางพลัด บางรัก บึงกุ่ม ปทุมวัน ประเวศ พญาไท พระโขนง มีนบุรี  ยานนาวา ราชเทวี ลาดพร้าว วัฒนา สวนหลวง สาทร สายไหม และหนองจอก จากนั้นจึงสุ่มถนน และประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,259 เป็นเพศชายร้อยละ 50.4 และเพศหญิง ร้อยละ 49.6

ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)

ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  +/-  3% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%

วิธีการรวบรวมข้อมูล

ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว (Face-to-face Interview) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน ประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) และคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ (Open Form) และได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล

ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล            :  15 – 18 กรกฎาคม 2553

วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ                :   28 กรกฎาคม 2553

ข้อมูลประชากรศาสตร์
จำนวน         ร้อยละ
เพศ

ชาย               635          50.4

หญิง               624          49.6

รวม                          1,259         100.0

อายุ

13 – 15 ปี          359          28.5

16 – 18 ปี          456          36.2

19 – 22 ปี          444          35.3

รวม                          1,259         100.0

การศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น             310          24.6

มัธยมศึกษาตอนปลาย / ปวช.    442          35.1

อุดมศึกษา / ปวส.  468          37.2

จบการศึกษา / ไม่ได้ศึกษา       39           3.1

รวม                          1,259         100.0

ใส่ความเห็น